Thailand Future Fund ปลื้มนักลงทุนรายย่อยจองซื้อคึกคัก เคาะจำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายสุดท้ายที่ 4,470 ล้านหน่วย คาดพร้อมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ 31 ต.ค.นี้

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ Thailand Future Fund (TFFIF) ปลื้มนักลงทุนรายย่อยจองซื้อหน่วยลงทุนอย่างคึกคัก พร้อมเคาะจำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายสุดท้ายที่ 4,470 ล้านหน่วย หลังนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้อหน่วยลงทุนอย่างท่วมท้น คาดพร้อมนำหน่วยลงทุนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 31 ต.ค.นี้ ชูศักยภาพทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถี ที่ TFFIF จะเข้าลงทุนครั้งแรกในสิทธิในการรับส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางเป็นระยะเวลา 30 ปี นับจากวันโอนสิทธิตามสัญญาโอนและรับโอนสิทธิในรายได้ พร้อมโชว์ศักยภาพผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปีงบประมาณที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังมีโอกาสได้รับประโยชน์จากนโยบายการลงทุนของภาครัฐและเอกชนในละแวกใกล้เคียงทางพิเศษทั้ง 2 สายทาง ที่อาจส่งผลให้มีความต้องการใช้ทางพิเศษเพิ่มขึ้น

นายวราห์ สุจริตกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะตัวแทนที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุน เปิดเผยว่า หลังจากที่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทยหรือ Thailand Future Fund (TFFIF) ได้เริ่มเสนอขายหน่วยลงทุนส่วนเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO) โดยมีช่วงจำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายเบื้องต้นที่ 4,000 – 4,470 ล้านหน่วย ปรากฏว่าในการเสนอขายหน่วยลงทุนส่วนเพิ่มทุนแก่ผู้จองซื้อทั่วไป เมื่อวันที่ 12 – 19 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น TFFIF ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนรายย่อย โดยความสนใจในการจองซื้อหน่วยลงทุนในครั้งนี้มีมูลค่ามากกว่า 28,800 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ามูลค่าที่ได้จัดสรรไว้เบื้องต้น พร้อมกันนี้ในช่วงเวลาเดียวกันผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนได้สำรวจปริมาณความต้องการซื้อหน่วยลงทุนของนักลงทุนสถาบันในแต่ละช่วงจำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายเบื้องต้น (Book Building) พบว่ามีนักลงทุนสถาบันในประเทศซึ่งรวมถึงสถาบันที่บริหารกองทุนเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั่วไป เช่น กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนประกันสังคม เป็นต้น แสดงความต้องการจองซื้อหน่วยลงทุนที่จำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายสูงสุดของช่วงจำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายเบื้องต้น มากกว่าหน่วยลงทุนที่จัดสรรไว้เบื้องต้นเช่นกัน ส่งผลให้จำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายสุดท้ายในครั้งนี้เท่ากับ 4,470 ล้านหน่วย คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายส่วนเพิ่มทุนเท่ากับ 44,700 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณการอัตราการปันส่วนแบ่งให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในปีแรก เท่ากับร้อยละ 4.751 ซึ่งเป็นจำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายที่สูงที่สุดของช่วงจำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายเบื้องต้น

ทั้งนี้ เนื่องจาก TFFIF เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการสนับสนุนโดยภาครัฐและเพื่อให้ประชาชนทั่วไปมีทางเลือกในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่มั่นคงและมีโอกาสในการเติบโต และเพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีที่ต้องการให้ประชาชนทั่วไปเป็นสัดส่วนหลักของ TFFIF จึงพิจารณาจัดสรรจำนวนหน่วยลงทุนเพิ่มเติมให้กับผู้จองซื้อทั่วไป โดยสัดส่วนการเสนอขายหน่วยลงทุนสุดท้าย ประกอบไปด้วย กระทรวงการคลัง จำนวน 357 ล้านหน่วย ผู้จองซื้อทั่วไป จำนวน 2,300 ล้านหน่วย และ นักลงทุนสถาบันในประเทศ (ผู้ลงทุนหลักโดยเฉพาะเจาะจงและผู้จองซื้อพิเศษ) จำนวน 1,813 ล้านหน่วย จากการเสนอขายหน่วยลงทุน TFFIF ในครั้งนี้ นับว่าเป็นการเสนอขายตราสารทุนที่มีมูลค่ามากที่สุดในปี 2561

ตัวแทนที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุน กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการจัดสรรหน่วยลงทุนสำหรับผู้จองซื้อทั่วไป คาดว่าจะประกาศภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2561 โดยสามารถตรวจสอบผลการจัดสรรได้ที่สำนักงานใหญ่และสาขาของบริษัทจัดการ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่และสาขาของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุน ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และสำนักงานใหญ่และสาขาของผู้สนับสนุนการขายหน่วยลงทุน ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือสามารถตรวจสอบได้ทางโทรศัพท์และเว็บไซต์ของบริษัทจัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ตรวจสอบได้เฉพาะส่วนที่รับจองซื้อโดยผู้รับจองซื้อแต่ละราย) สำหรับผลการจัดสรรทั้งหมด สามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ www.settrade.com และ www.tffif.com

ส่วนผู้จองซื้อทั่วไปที่ไม่ได้รับการจัดสรรหน่วยลงทุนครบตามจำนวนที่จองซื้อ หรือถูกปฏิเสธการจองซื้อ จะได้รับการคืนเงินค่าจองซื้อหน่วยลงทุนให้แก่ผู้จองซื้อตามจำนวนที่ไม่ได้รับการจัดสรรหรือถูกปฏิเสธการจองซื้อตามใบจองซื้อแต่ละใบจอง ผ่านทางบริษัทจัดการ หรือผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุน หรือผู้สนับสนุนการขายหน่วยลงทุนที่ได้จองซื้อไว้ ภายใน 3 วันทำการหลังจากวันที่ประกาศผลการจัดสรรหน่วยลงทุนสำหรับผู้จองซื้อทั่วไป โดยเงื่อนไขและรายละเอียดให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน

ทั้งนี้ TFFIF จะเข้าลงทุนครั้งแรกในสิทธิในการรับรายได้ร้อยละ 45 ของรายได้ค่าผ่านทางรวมสุทธิ2 ที่จัดเก็บได้จากทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถี ระยะทางรวม 83.2 กิโลเมตร เป็นระยะเวลา 30 ปี นับจากวันโอนสิทธิตามสัญญาโอนและรับโอนสิทธิในรายได้ (Revenue Transfer Agreement หรือ RTA) โดยทางพิเศษ 2 สายทางดังกล่าวยังคงเป็นทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และ กทพ. จะนำเงินที่ได้รับจากการโอนสิทธิในการรับส่วนแบ่งรายได้ในครั้งนี้ไปใช้พัฒนาโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก และโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 เชื่อมต่อไปยังถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออกและส่วนต่อขยายทดแทน ตอน N1

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการ กล่าวว่า คาดว่าหน่วยลงทุนส่วนเพิ่มทุนของ TFFIF จะเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ โดยกองทุน มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และในแต่ละรอบปีบัญชีจะจ่ายในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว โดยประมาณการอัตราการปันส่วนแบ่งให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในปีแรก (สิ้นสุด 30 กันยายน 2562) เป็นร้อยละ 4.751 (ภายหลังการกำหนดมูลค่าหน่วยลงทุนเสนอขายสุดท้ายที่ 44,700 ล้านบาท)

ตัวแทนบริษัทจัดการ กล่าวอีกว่า การลงทุนใน TFFIF นักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับยกเว้นการจัดเก็บภาษีจากเงินปันผลที่ได้รับจากกองทุนเป็นระยะเวลา 8 ปีอีกด้วย นอกจากนี้ TFFIF ยังมีศักยภาพในการเติบโต จากการเข้าลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ของภาครัฐในอนาคตได้ทุกประเภท เช่น ทางหลวง สนามบิน ท่าเรือ ระบบราง ฯลฯ ซึ่งจะส่งผลดีต่อขนาดของกองทุนและยังจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายหน่วยลงทุนในอนาคต